Google AI กับการเปลี่ยนแปลง Search Generative Experience (SGE) ในโลกของ SEO
มีคนถามเขามาเยอะมากกว่า AI ที่จะเข้าเปลี่ยนโลกแล้ว และตอนนี้ Google ก็ออก Gemini มาให้ทดลองใช้กันแล้ว แบบนี้ โลกของ Search Engine การค้นหา ที่จะเปลี่ยนแปลงไป Search Generative Experience อนาคตเราจะทำ SEO อย่างไรดี?
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า Google ใช้ AI เข้ามาช่วยในการทำงานของระบบมานานแล้ว ตัวอย่างที่เปิ้ลมั่นใจว่า เกือบทุกคนเคยใช้เลย คือ Gmail ที่ Google ใช้ AI ในการตรวจสอบว่า email ที่ส่งมานั้น อันไหนเป็น Spam อันไหนเป็นโปรโมชั่น หรือ ใน Google Maps ที่ Google คอยเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดให้เพื่อไปถึงที่หมายที่ต้องการ พร้อมคำนวนเวลาในการถึงที่หมายด้วย รวมถึง การนำ Ads ขึ้นมาแสดงผลในสิ่งที่คิดว่า เราสนใจในขณะนั้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ คือ AI ที่กลายเป็นส่วนนึงในชีวิตของเราทุกคน จนบางทีเราก็ลืมไปแล้วว่า ระบบเหล่านี้ ใช้ AI ในการจัดสรรมาให้ตามความต้องการ
คราวนี้ มาถึงยุคที่ใช้ Generative AI ที่มีความสามารถหลักเลย คือ สามารถคิดแทนได้, สร้างความเชื่อมโยงได้ดี และที่สำคัญคือ สรุปประเด็นต่างๆ ได้เก่งมากกก โดยที่ความสามารถนี้ ทาง Google ก็เล็งเห็นประโยชน์ของมัน และนำมาไว้ในผลการค้นหา โดยออกมาในชื่อ Search Generative Experience โดยมีระบบเบื้องหลังคือ Google Gemini ที่กำลังโด่งดังมากอยู่ในขณะนี้ นั่นเอง
Search Generative Experience (SGE)
เนื่องด้วย Google เป็น Search Engine ที่มีคนใช้ค้นหาข้อมูลมากที่สุดในโลก เป็นเวลามากว่า 25 ปี ดังนั้น Google จึงมีฐานข้อมูลและเรียนรู้ว่า คนมักจะค้นหาอะไร และจากการที่เปิ้ลทำงานด้าน Search Engine มาประมาณ 20 ปี ก็เห็นเหมือนกันว่า ช่วงหลายปีหลัง ผู้คนมักจะค้นหาเป็นลักษณะถามคำถาม เพื่อต้องการคำตอบเลย ซึ่ง SGE ระบบใหม่ที่ Google ทำออกมานี้ ก็เพื่อตอบโจทย์คนค้นหานี้นั่นเอง
ซึ่ง Search Generative Experience หรือ SGE เป็นการนำ Generative AI เป็น ฟีเจอร์ AI-powered snapshots จะเป็นตัวที่ทำให้ Google รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้งานลึกลงไปอีกขั้น เพราะฟีเจอร์นี้มีการเล่นกับข้อมูบในรูปแบบต่าง ๆ มาแสดง และสามารถเปลี่ยนได้แบบ Dynamic อีกด้วย คือ ถึงแม้ว่าจะค้นหาสิ่งเดียวกัน แต่คำตอบที่ได้จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล
ซึ่งมันเป็นข้อดีเลย สำหรับคนที่ใช้ Search Engine อย่าง Google ในการค้นหา เพราะเราจะได้คำตอบที่เราอยากรู้ในทันที โดย SGE อาจสร้างบทสรุปสั้น ๆ ของบทวิจารณ์จากเว็บไซต์ต่าง ๆ พร้อมด้วยคะแนนและรูปภาพให้เรา ทำให้ไม่ต้องไปเสียเวลาเข้าไปอ่านทีละเว็บไซต์ เหมือนที่ผ่านมา และมันยังจะให้คำตอบ ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
SGE จะส่งผลกระทบในโลก SEO อย่างไร?
- จะเกิดเนื้อหาที่ดีมีคุณภาพมากขึ้น เพราะ SGE ต้องการ Content ที่มีรายละเอียดชัดเจน ในการตอบและสื่อสาร ในหัวข้อที่คนจะมาค้นหา
- เกิด Zero Click แน่นอนว่า การคนค้นหาได้คำตอบในสิ่งที่อยากรู้ คนก็จะคลิกไปสู่เว็บไซต์ หรือ สื่อออนไลน์อื่นๆ น้อยลง เพราะคนค้นหาจะได้คำตอบที่ต้องการแล้วจึงไม่จำเป็นต้องคลิกเว็บไซต์อื่นอีกต่อไป
- การเขียน Content ต้องมีการกระจาย Keywords ให้มากขึ้น รวมถึง Focus ในคำที่มีลักษณะเป็น Long-tail Keywords
แนวทางในการเขียน Content SEO เพื่อรองรับ AI ต่อไปในอนาคต
- เน้นในลักษณะ Long-tail Keywords ให้มากขึ้น มีความละเอียดในส่วนต่างๆ มากเพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปตอบคำถามใน AI ได้ดียิ่งขึ้น (SGE Keywords)
- เนื้อหา ที่มีลักษณะเป็นการถาม-ตอบ (FAQ / Q&A)
- เนื้อหาที่ได้คำตอบมาผู้รู้จริง หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ จะกลายเป็นเนื้อหาที่ทรงคุณค่า และมีความน่าเชื่อถือ (EEAT Algorism)
- เนื้อหาที่เป็นในลักษณะ Case Study หรือพวก Success Case ก็จะมีบทบาทมากขึ้น (EEAT Algorism)
- เนื้อหาที่เขียน ประเภท รีวิว หรือ การเปรียบเทียบ บอกข้อดี ข้อเสียชัดๆ จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น (EEAT Algorism)
- เนื้อหาที่ บอกประสบการณ์ของผู้ใช้จริง (EEAT Algorism)
- เนื้อหาประเภท vdo รูปภาพ short vdo จะมีบทบาทมากขึ้น (Trends)
- เนื้อหา ตามกระแสนิยม ก็ยังตอบโจทย์ความต้องการเป็นช่วงเวลา ก็ยังมีบทบาทมาก (Trends)
- เนื้อหาที่บ่งบอก แนวโน้ม เทรนด์ อนาคต พวกการ update ต่างๆ (Trends)
- เนื้อหาที่เป็นลักษณะเฉพาะพื้นที่ (Local SEO)
บทสรุป
การเปลี่ยนแปลงโลกของการค้นหาด้วย SGE จะเข้ามามีบทบาทกับเราในอนาคตอย่างแน่นอน และคิดว่าทาง Google คงจะเปิดให้ใช้งานได้ฟรีทุกส่วน ในช่วงแรก แล้วจึงเปิดให้ใช้ฟรีบางส่วน เพื่อหารายได้เพิ่มจาก SGE ตัวใหม่นี้ จนกลายมาเป็นรายได้หลักแทนที่ Google Ads เดิมอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องรอดูกันต่อไป
เรามาเริ่ม ทำ SEO เพื่อรองรับการทำ SGE ตัวใหม่กันเถอะค่ะ ^__^
