Search Central Live Deep Dive 2025 : วันที่ 2 – Indexing (การจัดทำดัชนี)

search central live 2025

วันนี้เป็นส่วนที่ลงลึกในเชิงเทคนิคมากขึ้น โดยจะอธิบายว่าหลังจาก Googlebot เก็บข้อมูลหน้าเว็บของเราไปแล้ว หน้าเว็บนั้นจะเข้าไปอยู่ในระบบฐานข้อมูลของ Google ได้อย่างไร และเราจะช่วยให้ Google ทำงานได้ดีขึ้นได้อย่างไร

1. กระบวนการจัดทำดัชนี (Indexing SEO Process)

การจัดทำดัชนีไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลไปเฉยๆ แต่เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน โดยในงานได้อธิบายว่ามันประกอบด้วย:

  • HTML Parsing: Google จะเริ่มจากการวิเคราะห์โครงสร้างโค้ด HTML ของหน้าเว็บเรา เพื่อทำความเข้าใจว่าส่วนไหนคือหัวข้อ (Heading), ส่วนไหนคือย่อหน้า (Paragraph) และส่วนไหนคือลิงก์
  • Rendering & JavaScript Execution: นี่คือขั้นตอนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ Google โดย Google จะทำตัวเหมือนเว็บเบราว์เซอร์ (Chrome) ที่แสดงผลหน้าเว็บของเราออกมาจริงๆ และรันโค้ด JavaScript ต่างๆ ที่อยู่บนหน้าเว็บนั้นด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า Google เห็นหน้าเว็บของเราในแบบที่ผู้ใช้เห็นทุกประการ
  • Deduplication: Google จะทำการตรวจสอบว่าหน้านี้เป็นเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกับหน้าอื่นหรือไม่ หากซ้ำกันก็จะตัดสินใจว่าจะนำหน้าไหนเข้า Index เพื่อป้องกันไม่ให้ฐานข้อมูลมีเนื้อหาที่เหมือนกันมากเกินไป
  • Feature/Signal Extraction: ในขั้นตอนนี้ Google จะดึงสัญญาณคุณภาพต่างๆ ที่อยู่บนหน้าเว็บออกมา เช่น ความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับคีย์เวิร์ด, ความเร็วของเว็บไซต์, โครงสร้างข้อมูล (Structured Data) และอื่นๆ

2. การควบคุมการจัดทำดัชนี (Indexing Control)

เป็นหัวข้อที่สอนให้เราใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อบอก Google ว่า “ควรจัดทำดัชนีส่วนไหนและส่วนไหนไม่ควร”

  • robots.txt: ไฟล์นี้ใช้เป็นป้ายบอกทางให้กับ Googlebot ว่าโฟลเดอร์หรือไฟล์ไหนบ้างที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมชม (เช่น ไฟล์ของผู้ดูแลระบบ)
  • Meta Robots Tag: เป็นโค้ดที่อยู่ในส่วน <head> ของหน้าเว็บ ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของ Googlebot ในระดับหน้าต่อหน้า เช่น
    • <meta name=”robots” content=”noindex”> จะเป็นการบอกให้ Googlebot เข้ามาได้ แต่ไม่ต้องนำหน้านี้ไปแสดงในผลการค้นหา
    • <meta name=”robots” content=”noimageindex”> จะเป็นการบอกให้ Google จัดทำดัชนีหน้านี้ได้ แต่ไม่ต้องจัดทำดัชนีรูปภาพที่อยู่ในหน้านี้

3. การจัดการเนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplication)

ปัญหานี้เป็นสิ่งที่คนทำ Indexing SEO มักจะเจอ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันหลายหน้า หรือมีการเปลี่ยน URL ทีมงาน googleแนะนำเทคนิคที่ถูกต้องดังนี้:

  • rel=canonical: ใช้เพื่อบอก Google ว่าหน้านี้เป็น “สำเนา” ของอีกหน้าหนึ่ง และให้พลัง SEO ไปรวมกันอยู่ที่หน้า “ต้นฉบับ”
  • hreflang: ใช้สำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเดียวกันแต่หลายภาษา เช่น มีหน้าสินค้าภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก็ต้องใช้ hreflang เพื่อบอก Google ว่าสองหน้านี้คือสินค้าเดียวกัน แต่สำหรับคนละกลุ่มเป้าหมาย

4. การประกาศเครื่องมือใหม่

ไฮไลต์ที่น่าสนใจของวันนี้คือการที่ Google ได้ประกาศเปิดตัว Google Trends API ในเวอร์ชั่น Alpha ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนาและนักการตลาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูล trends การค้นหาในรูปแบบที่สามารถนำไปสร้างเป็น application หรือเครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ

โดยสรุปแล้ว วันที่ 2 ของงานคือการลงรายละเอียดในเชิงเทคนิคที่ช่วยให้เราเข้าใจกลไกภายในของ Google Search มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ซึ่งเนื้อหาเด่นของวันนี้ ที่เราสนใจจะเป็นเรื่องของ Structured Data

Structured Data หรือ “ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง” ในการช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บของเราได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ Google พึ่งพา AI เพื่อทำความเข้าใจข้อมูล

1. Structured Data คืออะไร?

  • คำจำกัดความแบบง่าย: Structured Data คือการใส่ “ป้ายกำกับ” หรือ “แท็ก” พิเศษเข้าไปในโค้ด HTML ของเว็บไซต์ เพื่อบอกให้ Google รู้ว่าข้อมูลแต่ละส่วนบนหน้าเว็บคืออะไร
  • ตัวอย่าง: ถ้าเรามีหน้าเว็บที่เป็นสูตรอาหาร Structured Data จะบอก Google ว่าส่วนนี้คือ “ชื่อเมนู”, ส่วนนี้คือ “รูปภาพ”, ส่วนนี้คือ “ส่วนผสม”, และส่วนนี้คือ “ขั้นตอนการทำอาหาร”

2. ทำไม Structured Data ถึงสำคัญในยุคนี้?

  • เพิ่มโอกาสในการแสดงผลแบบ Rich Results: เมื่อ Google เข้าใจข้อมูลของเราอย่างชัดเจน ก็จะสามารถนำข้อมูลนั้นไปแสดงผลในรูปแบบที่น่าสนใจและโดดเด่นบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) ได้ เช่น:
    • Rich Snippets: แสดงคะแนนดาว, ราคา, หรือสต็อกสินค้า
    • FAQ Toggle: แสดงคำถาม-คำตอบที่สามารถกดขยายดูได้เลย
    • Knowledge Panel: แสดงข้อมูลสรุปเกี่ยวกับแบรนด์หรือบุคคล
  • ช่วยให้ AI และ Gemini เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น: ในยุคที่ Google ใช้ AI สรุปคำตอบ (AI Overview หรือ Gemini) การมี Structured Data จะช่วยให้ AI สามารถดึงข้อมูลที่ถูกต้องและสำคัญจากหน้าเว็บของเราไปใช้ประกอบการสรุปคำตอบได้ง่ายขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลอ้างอิง
  • สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี (Entities): Structured Data ช่วยให้ Google เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ บนเว็บไซต์ของเรา เช่น “บทความนี้เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญชื่อนี้” หรือ “สินค้าชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์นี้” ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัญญาณคุณภาพ (Quality Signal) ที่สำคัญ

3. คำแนะนำในการใช้งาน

  • ควรใช้ Schema Markup: การใช้งาน Structured Data ส่วนใหญ่จะทำผ่านภาษาที่เรียกว่า “Schema Markup” ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ Google และ Search Engine อื่นๆ ใช้ร่วมกัน
  • เลือกใช้ตามประเภทเนื้อหา: ควรเลือกใช้ Schema Markup ให้เหมาะสมกับประเภทของเนื้อหา เช่น Schema.org/Recipe สำหรับสูตรอาหาร, Schema.org/Product สำหรับสินค้า, หรือ Schema.org/Article สำหรับบทความ
  • ต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่แสดง: ข้อมูลใน Structured Data ต้องตรงกับข้อมูลที่แสดงบนหน้าเว็บจริงๆ ห้ามใส่ข้อมูลหลอกๆ ที่ผู้ใช้มองไม่เห็นเด็ดขาด

เครื่องมือช่วยคุณวัดผล Structured Data:

  • Google Search Gallery: เข้าไปดู Structured Data ต่างๆ ที่เหมาะกับเว็บไซต์ของเรา(https://developers.google.com/search/docs/appearance/structured-data/search-gallery)
  •  Rich Results Test: ใช้เครื่องมือนี้เพื่อทดสอบและดูตัวอย่าง Structured Data ของเรา ว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็น Rich Results หรือไม่ (https://search.google.com/test/rich-results)

โดยสรุป เน้นย้ำว่า Structured Data ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “โบนัส” ในการทำ SEO อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเราได้อย่างลึกซึ้ง และยังเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสไปปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาที่น่าสนใจและในคำตอบของ AI ในยุคปัจจุบัน

สุดท้าย เราไปดูกันว่า อะไรที่มีผลการ Indexing กันบ้างนะ? เน้น Indexing SEO นะ ไม่ใช่ Ranking!!

Domain Age & HistoryHreflang Tags
CountryLogical Internal Linking
LanguageReadability
Structured DataTopical Authority
XML SitemapContent Depth & Compreshensiveness
HTTPS / Secure siteMatching Search Intent
crawlabilityContent Recency & Freshness
Core Web VitalsKeyword in H1 Tag
Backlink (Dofollow link)E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworth)
Link VelocitySpam Policies Violations
Indexing Signals

ตามอ่านรายละเอียดใน วันที่ 3 – Search Central Live Deep Dive 2025 – Serving SEO

Scroll to Top